หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

งานของ ครูพสิน ทำในวันว่าง.. เสาร์ อาทิตย์ ... วันที่คิดอยากจะทำการบ้าน

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ประวัติที่มาของเรื่อง
        กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้ามาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Writen in a Country Churchyard ของทอมมัส เกรย์ (Thormas Gray)กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง(กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 Elegy หมายถึงโคลงที่กล่าวไว้อาลัยหรือคร่ำครวญถึงผู้ที่จากไป โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม    กาญจนาชีวะ)  ได้ประพันธ์จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็นกลอนดอกสร้อยจำนวน   33   บท(ในที่นี้คัดมาเพียง 21 บท)
คุณค่า       
        มุ่งแสดงความจริงเกี่ยวกับชีวิต โดยเสนอแนวคิดหลักว่า มนุษย์ทุกผู้ทำนามไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญหรือสามัญชนไม่มีผู้ใดหลีกหนีความตายไปได้
 ลักษณะคำประพันธ์
        กลอนดอกสร้อย ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลอนสุภาพ เพียงแต่ขึ้นต้นด้วย เอ๋ย      ลงท้ายด้วยเอย    คณะ 1 บทมี 8 วรรค
 -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                                ๑. วังเอ๋ยวังเวง              หง่างเหง่ง! ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ         ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย.
ถอดความ
                เสียงระฆังดังหง่างเหง่ง ในเวลาใกล้ค่ำทำให้เกิดความวังเวง ฝูงวัวควายก็เคลื่อนจากท้องทุ่งเพื่อกลับถิ่นของมัน ฝ่ายชาวนาที่เหนื่อยอ่อนจากการทำงานก็กลับที่อยู่ของตน ตะวันลับขอบฟ้าไม่มีแสงสว่าง ทำให้ท้องทุ่งมืดมิดและทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว     
๒. ยามเอ๋ยยามนี้                 ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล      สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง!      เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง           รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย.
ถอดความ
                ในเวลานี้ทั่วแผ่นดินมืดมิด อากาศหนาวเย็น เพราะเป็นเวลากลางคืน ป่าใหญ่แห่งนี้เงียบสงัด มีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงม และก็ได้ยินเสียงเกราะรัวจากคอกวัวควาย         ดังแว่วมาแต่ไกล
๓. นกเอ๋ยนกแสก               จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์    มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู   คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา            ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย.
ถอดความ
                เสียงนกแสกร้องขึ้นมาทำให้ข้าพเจ้าเสียขวัญ นกแสกมันจับอยู่บนหอระฆังที่บัง แสงจันทร์และมีเถาวัลย์รุงรังพันถึงหลังคา เหมือนกับมันจะฟ้องให้ดวงจันทร์หันมาดูผู้คนที่มาอยู่ในที่ที่มันรักษาไว้(ป่าช้า) ซึ่งถือเป็นที่เฉพาะส่วนตัวของมันมานาน ทำให้มันไม่มีความสุข
                               ๔. ต้นเอ๋ยต้นไทร               สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา               มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้            ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ          เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย.
ถอดความ
                มีต้นไทรสูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้าและต้นโพธิ์ที่เป็นพุ่มแผ่ร่มเงาออกไปโดยรอบ ที่ใต้ต้นไม้มีเนินหญ้าซึ่งเป็นที่ฝังศพของคนในเขตนั้น ศพที่นอนนิ่งอยู่ในหลุมลึกดูแล้วรู้สึกสลดใจ และตัวข้าพเจ้าเองก็ใกล้จะได้นอนอยู่ในหลุมนั้นเช่นกัน
๕. หมดเอ๋ยหมดห่วง         หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย                 เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น          ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง               พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย.
ถอดความ
                หมดห่วง เนื่องจากดวงวิญญาณได้แตกสลายไปแล้ว ถึงแม้ว่าลมยามเช้าจะพัดให้สดชื่น เตือนนกนางแอ่นให้เคลื่อนออกจากรังและส่งเสียงร้องไปตามโรงนา ไก่ก็ขันแข่งกับนกดุเหว่า เหมือนจะช่วยปลุกร่างของผู้ที่นอนเรียงรายในหลุมฝังศพให้ตื่นขึ้นแต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้ยิน
๖. ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง              ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา      ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ          เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ       สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย.
ถอดความ
                ยามหนาวเคยนั่งผิงไฟอยู่พร้อมหน้า แต่ต้องมาทิ้งเพื่อนทิ้งแม่เรือนที่คอยหุงหาอาหารให้รับประทานเช้าเย็น ทิ้งลูกน้อยที่เมื่อเห็นหน้าพ่อกลับมาก็ดีใจกอดคอฉอเลาะด้วยเสียงที่น่าฟัง แต่แล้วก็ต้องทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป
๗. กองเอ๋ยกองข้าว             กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร                ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ              สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์             หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย.
ถอดความ
                เห็นกองข้าวสูงราวโรงนาช่างน่ายินดี กองข้าวนี้เกิดจากการเก็บเกี่ยวจากเคียวของใคร หรือใครเป็นคนไถคราดพลิกฟื้นแผ่นดินนี้ เช้าก็ต้อนวัวควายและถือคันไถออกไปยังท้องนาอย่างสำราญใจ จับหางไถไถไปในทิศทางต่าง ๆ ตามใจตน
๘. ตัวเอ๋ยตัวทะยาน            อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน        และความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด         มีปวัฒน์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน          ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย.
ถอดความ
                ความทะเยอทะยาน ขออย่าบันดาลใจให้ดูถูกชาวนาและครอบครัวอันชื่นบานของเขา เพราะชาวนาต่างเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีความเป็นไปอย่างปกติ ขออย่างได้พูดจาเยาะเย้ยดูหมิ่นการเป็นอยู่ของเขา
๙. สกุลเอ๋ยสกุลสูง              ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์          ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง         เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น             แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย.
ถอดความ
                คนมีชาติตระกูลสูง ทำให้จิตใจพองโตขึ้นคิดว่าตนมีศักดิ์ศรีเหนือผู้อื่น คนมีอำนาจนำความสง่างามมาให้ชีวิต คนมีหน้าตางดงามทำให้คนอื่นรักใคร่   คนมีฐานะร่ำรวยย่อมหาความสุขได้ทุกอย่าง แต่ทุกคนต่างก็รอความตายเช่นเดียวกัน วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดล้วนมารวมกันที่หลุมฝังศพ
๑๐. ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง               เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ                ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง                เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี
สร้างสานการบุญหนุนพลี                เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย.
ถอดความ
                ผู้ที่เย่อหยิ่งทั้งหลาย อย่าได้ตำหนิซากศพผู้ยากไร้ แม้ศพเหล่านี้จะนอนจมดินน่าสลดใจและที่ไม่สามารถระลึกถึงสิ่งใดได้เลยก็ตาม ไม่เหมือนอย่างบางศพที่ญาติตบแต่งด้วยเครื่องแสดงเกียรติยศอย่างดี โดยการสร้างอนุสาวรีย์อันสง่างามเพื่อเคารพบูชา
๑๑. ที่เอ๋ยที่ระลึก                ถึงอธึกงามลบในภพพื้น
ก็ไม่ชวนชีพที่ดับให้กลับคืน            เสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกลั่น      จะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวาย          ชูเกียรติญาติไปภายภาคหน้า เอย.
ถอดความ
                ที่ระลึกที่สร้างขึ้นถึงแม้จะงามเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาได้ เสียงชื่นชมเชิดชูในคุณงามความดีของผู้ตาย   ผู้ตายก็ไม่สามารถรับรู้ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่
๑๒. ร่างเอ๋ยร่างกาย           ยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทราม      อาจขึ้นชื่อลือนามในก่อนไกล
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพ แห่งจอมภพจักรพรรดิกษัตริย์ใหญ่
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัย         ณ สมัยก่อนกาลบุราณ เอย.
ถอดความ
                ร่างกายของคนตายจมอยู่ใต้พื้นดินมากมาย ขออย่าได้ดูถูกถิ่นที่นี้ว่าไม่ดี เพราะอาจจะเป็นสถานที่มีชื่อเสียงมาก่อน อาจเป็นเจดีย์ หรือที่ฝังศพของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อันประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการในสมัยโบราณก็ได้  
๑๓. ความเอ๋ยความรู้          เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป                 ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา            ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน           กระแสวิญญาณงันเพียงนั้น เอย.
ถอดความ
                  ความรู้เป็นเครื่องชี้ทางไปสู่ความก้าวหน้า แต่ตอนนี้หมดโอกาสแล้ว จำต้องละความห่วงใยทั้งหมดไปสู่ความตาย    ความยากจนทำให้ไม่ได้รับการศึกษา ได้รับความรู้อยู่เฉพาะในท้องถิ่นของตน และขณะนี้ก็หมดทุกข์เกี่ยวกับการทำมาหากินเพราะวิญญาณนั้นคงหยุดอยู่เพียงเท่านี้
๑๔. ดวงเอ๋ยดวงมณี           มักจะลี้ลับอยู่ในภูผา
หรือใต้ท้องห้องสมุทรสุดสายตา     ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน
บุปผชาติชูสีและมีกลิ่น      อยู่ในถิ่นที่ไกลเช่นไพรสณฑ์
ไม่มีใครได้เชยเลยสักคน   ย่อมบานหล่นเปล่าดายมากมาย เอย.
ถอดความ
                แก้วมณีสิ่งที่มีค่ามักอยู่ในที่ลี้ลับ เช่น ภูเขา   ท้องทะเลลึก สุดตายตาไม่มีใครสามารถมองเห็น    ทำให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไม่มีผู้ใดได้ชื่นชม เปรียบเสมือนกับดอกไม้ที่มีสีสวยกลิ่นหอมแต่อยู่ห่างไกล เช่น ในป่า ไม่มีใครได้เห็นหรือเชยชมสักคน   ย่อมบานแล้วหล่นไปเปล่า ๆ อย่างน่าเสียดาย
๑๕. ซากเอ๋ยซากศพ           อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำบาญ   กับหมู่ม่านมาประทุษอยุธยา
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์    นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา           อาจจะมานอนจมถมดิน เอย.


ถอดความ 
                ซากศพทั้งหลายเหล่านี้ อาจเป็นซากศพของนักรบผู้กล้าหาญ เช่น ชาวบ้านบางระจันที่สู้รบกับกองทัพพม่าที่มาโจมตีกรุงศรีอยุธยา หรือศพกวีศรีปราชญ์ที่นอนนิ่งไม่พูดจา หรือศพผู้ที่กู้บ้านเมืองหรือผู้มีปัญญาอื่น ๆ ซึ่งอาจนอนถมจมดินอยู่ 
๑๘. มักเอ๋ยมักใหญ่                            ก่นแต่ใฝ่ฝันฟุ้งตามมุ่งหมาย
อำพรางความจริงใจไม่แพร่งพราย ไม่ควรอายก็ต้องอายหมายปิดบัง
มุ่งแต่โปรยเครื่องปรุงจรุงกลิ่น                        คือความฟูมฟายสินลิ้นโอหัง
ลงในเพลิงเกียรติศักดิ์ประจักษ์ดัง                   เปลวเพลิงปลั่งหอมกลบตลบ เอย.
ถอดความ
                พวกมักใหญ่ใฝ่สูงจะทำในสิ่งที่ตนมุ่งหมายไว้และปิดบังความจริงบางอย่างไว้ไม่เปิดเผย สิ่งที่ไม่ควรอายก็อาย แสดงให้เห็นว่าภายนอกดูดี ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินฐานะ พูดจาอวดดีเพื่อแสดงความมีเกียรติของตนให้ผู้อื่นเห็น อันเป็นการปกปิดความจริงที่ไม่ดีงามของตนไว้
๑๙. ห่างเอ๋ยห่างไกล          ห่างจากพวกมักใหญ่ฝักใฝ่หา
แต่สิ่งซึ่งเหลวไหลใส่อาตมา            ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป
เพื่อนรักษาความสราญฐานวิเวก     ร่มเชื้อเฉกหุบเขาลำเนาไศล
สันโดษดับฟุ้งซ่านทะยานใจ            ตามวิสัยชาวนาเย็นกว่า เอย.
ถอดความ
                ขอให้อยู่ห่างพวกมักใหญ่ใฝ่สูง ซึ่งทำแต่สิ่งเหลวไหลใส่ตัวเอง  โดยไม่ดูความมักน้อยของชาวนาเป็นตัวอย่าง ดังนั้นเพื่อรักษาความสบายใจและความวิเวกร่มเย็นเหมือนอยู่ในป่าเขา ควรถือสันโดษไม่ฟุ้งซ่านทะเยอทะยาน    ตามแบบของชาวนาจะทำให้จิตใจเยือกเย็น
๒๐. ศพเอ๋ยศพไพร่            ไม่มีใครขึ้นชื่อระบือขาน
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน           ไม่มีการจารึกบันทึกคุณ
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ              ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ            เป็นเครื่องหนุนนำเหตุสังเวช เอย.
ถอดความ
                ศพของบุคคลธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักไม่ใครยกย่อง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะนินทาเพราะไม่ได้จารึกสิ่งใดไว้ แม้บางครั้งจะมีการยกย่องในคุณงามความดีบ้าง แต่ก็ไม่เต็มที่ ทำพอเป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดีหรือเพื่อเป็นเครื่องหนุนเพื่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ต่อผู้ที่ตายไปเท่านั้น
๒๑. ศพเอ๋ยศพสูง              เป็นเครื่องจูงจิตให้เลื่อมใสศานต์
จารึกคำสำนวนชวนสักการ              ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ
ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน                          จากรึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์
อุทิศสิ่งซึ่งสร้างตามทางธรรม์          ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผี เอย.
ถอดความ
                ศพบางศพมีคำจารึกที่จูงใจให้เลื่อมใสและสักการะ   ต่างจากชาวนาหรือคนธรรมดาซึ่งจารึกเพียงชื่อวันเดือนปีที่ตายไป เพื่อจะได้มีชื่อเรียกในการอุทิศส่วนกุศลให้คนตายที่ชื่อนั้นชื่อนี้ 
๒๒. ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร     ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท      ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข                 เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย          โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัย เอย.
ถอดความ
                ห่วงอะไรก็ไม่เท่าห่วงชีวิตของตนเอง แม้จะลืมที่ใดไปหมดแต่เมื่อใกล้ตายก็ยังคิดถึงชีวิตของตนเอง ใครจะยอมละทิ้งความสุขความสบายไปโดยไม่อาลัยไยดี
๒๓. ดวงเอ๋ยดวงจิต           ลืมสนิทกิจการงานทั้งหลาย
ย่อมละชีพเคยสุขสนุกสบาย             เคยเสียดายเคยวิตกเคยปกครอง
ละทิ้งถิ่นที่สำราญเบิกบานจิต           ซึ่งเคยคิดใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง             ไม่ผินหลังเหลียวมองด้วยซ้ำ เอย.
ถอดความ
                ขอให้ดวงจิตจงลืมกิจการงานทั้งหลาย ที่เคยสุขสนุกสบาย เคยเสียดาย เคยวิตกและเคยปกครอง ละทิ้งถิ่นที่เคยให้ความสุขซึ่งเคยคิดเป็นเจ้าของ ขอให้หมด  วิตก หมดเสียดาย หมดความปรารถนา โดยไม่หันหลังเหลียวมองมันอีก